วิถีชีวิตของชาวผู้ไทย
ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวผู้ไทย ก็คงเหมือนกับครอบครัวไทยทั่วๆไป คือ ในครอบครัวหนึ่งๆก็จะมีพ่อเป็นใหญ่ที่สุด รองลงมาคือ แม่ พี่คนโต และรองลงไปตามลำดับ
1.สังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ในอดีตเมื่อ 40 ปีย้อนลงไป สังคมผู้ไทยได้ให้ความสำคัญต่อผู้เป็นสามีมาก ในปัจจุบันก็ยังให้ความนับถืออยู่ เพียงแต่ลดพฤติกรรมบางอย่างลงไปบ้าง เช่น
การกราบ การสมมาสามีในวันพระ บางคนไม่ได้ทำเลยโดยเฉพาะภรรยารุ่นใหม่ แต่จะสมมาสามีตอน “ ออกคำ ” ( ออกจากการอยู่ไฟ ) ใหม่ๆทุกครั้งเหมือนในอดีต ที่สมมาตอนออกคำใหม่ๆ ก็เพราะสามีเป็นผู้ลำบากทุกข์ยาก อดตาหลับขับตานอน ตักน้ำหาฟืน ดูแลภรรยาที่อยู่คำ ( เพราะฉะนั้นการอยู่คำนี้ภาษาลาวจึงเรียกว่า “ อยู่กรรม ”)
การสมมาในวันพระลดลงมาก บางคนไม่ทำเลย เพราะว่าเศรษฐกิจรัดตัว ทั้งผัวทั้งเมียต้องออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ผู้ออกจากบ้านบ่อยและกลับดึก คือ สามีนอกเรื่องงานแล้วอาจจะเป็นกิจกรรมของหมู่บ้าน เช่น ประชุมประจำเดือน ประชุมเตรียมการทำบุญ หรือติดงานด้านอื่นๆทำให้กลับบ้านดึก ภรรยาจึงนอนก่อน แต่ก่อนภรรยาต้อง “ ตื่นก่อนนอนหลัง ” จึงได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไม่ได้สมมาบ่อยๆเข้า ก็เลยเลิกไปโดยปริยาย
การกราบสามีก่อนนอนก็เช่นกัน บางคนเอาปลายผมตัวเองเช็ดเท้าสามีในปัจจุบันเหลือน้อยแล้วจนแทบจะไม่มี จนจะเหลือแต่เพียงเรื่องเล่าที่เลิกไปก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว
การกินข้าว แต่ก่อนต้องพร้อมกัน เมื่อทุกคนนั่งวงล้อมนาข้าวแล้วให้สามีเริ่มก่อนเดี๋ยวนี้ลดลง เพราะต่างมีธุระลูกก็รีบไปโรงเรียน สามีก็ติดธุระก็อนุญาตลูกเมียกินก่อน นานๆเข้าก็เลยถือเป็นเรื่องธรรมดาไป แต่ก็มีแบบเดิมให้เห็นอยู่ไม่มากการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมีมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว อีกประการหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือ เดี๋ยวนี้มีความเจริญขึ้นมาก หญิงชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทั้งสามีภรรยาต่างมีบทบาทในครอบครัวเท่ากัน ช่วยกันทำมาหากินไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เช่น ทั้งสามีภรรยาต่างเป็นข้าราชการ แต่อย่างไรก็ตามภรรยาก็ยังให้ความนับถือสามีอยู่ ถึงแม้ลด พฤติกรรมบางอย่าง แต่ด้านอื่นยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่น การให้ความห่วงใย เอื้ออาทร ปรนนิบัติ ก็ยังมีเหมือนเดิม
บรรดาลูกๆทั้งหลายต้องให้ความเคารพพ่อแม่ ไม่กระด้างกระเดื่อง มิเช่นนั้นแล้ว “ มันละลุ้ยละลง ส้างกึ๋นมิหึ้น ส้างเพงโห เจินลงเพงตี๋น ” ( มันจะเสื่อม ทำกินไม่ก้าวหน้า สร้างสูงถึงศีรษะ ทะลายลงถึงตีน )
2. การสืบสายตระกูล ชาวผู้ไทยส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นหลักในการสืบสายตระกูล ในการสืบมรดกนั้นในอดีตมักจะให้ผู้ชาย เพราะถือว่าลูกผู้หญิงต้องไปสมสร้างกับสามี บรรดาลูกชายคนที่จะได้มรดกมาก แบ่งเป็นดังนี้
1.พี่จะได้มากกว่าน้อง คือ “ อ้ายเอาสอง น้องเอาหนึ่ง ” เพราะมรดกต่างๆ เช่น ที่นา ถือว่าพี่เป็นคนช่วยพ่อทำมากกว่าน้อง นอกจากนี้พี่ยังเป็นคนเลี้ยงน้องด้วย
2.ผู้ที่รับภาระเลี้ยงดูพ่อแม่มากย่อมได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้อง ถ้าเป็นผู้ดูแลพ่อแม่จนพ่อแม่ตาย มรดกส่วนที่ยักไว้ของพ่อแม่ย่อมเป็นของผู้ที่เลี้ยงดูนั้น เพราะเลี้ยงดูพ่อแม่จน “ เหม็นกับเข่า เน่ากับตัก ” และ “ ไง้เงินเอาะ เทาะถงเท ” (ใช้เงินจัดการศพ จนขอดเกลี้ยงกระเป๋า)แต่ก็เหมือนกันที่พ่อแม่ให้ลูกสาวเป็นผู้มาเลี้ยงดูตน หรือไปอยู่กับลูกสาว ลูกสาวรับภาระในการเลี้ยงดู ลักษณะนี้ลูกสาวย่อมได้มรดกมากกว่า ( แต่จำนวนพ่อแม่ที่อยู่กับลูกชายมีมากกว่าอยู่กับลูกสาว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ) มีการให้มรดกแก่ลูกสาวอีกวิธีหนึ่ง คือ การ “ กาวลำชาย ” ( กล่าวเอาว่าเป็นลูกชาย ) คือ ในกรณีที่ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามีแล้วเกิดตกทุกข์ได้ยากสิ้นไร้ไม้ตอก ผู้เป็นพ่อก็เอามา “ กาวลำชาย ” ให้รับมรดกได้ “ การกาวลำชาย ” นั้นจะกล่าวตอนมีหญิงสาวที่มีนามสกุลเดียวกันกับพ่อ ( คือ พี่น้อง ลูกหลานของพ่อ ) แต่งงานก็จะกล่าวในงานแต่งงาน โดยแจกไม้ขีดไฟให้ “ เท้าอ้ายเท้าน้อง ” ( ผู้เฒ่าผู้แก่ฝ่ายพ่อ ) และบรรดาเขยทั้งหลาย แล้วประกาศให้ทราบว่า “ นาง... ต่อไปนี้จะกล่าวถือว่าเสมือนเป็นลูกชาย... ให้ญาติพี่น้องรับทราบไว้ ” เมื่อกล่าวแล้ว นาง ... ก็มีสิทธิรับมรดกจากพ่อ และบางคนเมื่อถูกกล่าวลำชายแล้วหันมาใช้นามสกุลของพ่อก็มี ในปัจจุบันนี้การสืบสายตระกูลสืบมรดก ลูกทุกคนมีสิทธิได้รับแบ่งเท่าเทียมกันแต่จะยักไว้ “ พูดพ่อแม่ ” (ส่วนของพ่อแม่ ) ไว้ให้ผู้ที่เลี้ยงพ่อแม่จนตาย
ขนาดครอบครัว ในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อนยังไม่มีการวางแผนครอบครัว ทำให้ครอบครัวมีขนาดใหญ่ บางครอบครัวมีลูกตั้ง 10-12 คน ใครมีลูกมากยิ่งดีจะได้ “ กินแฮง ” ( กินแรง ) ลูกคือ จะมีผู้มาเลี้ยงดู เวลามีการแต่งงานจะมีการให้พรคู่บ่าวสาวว่า “ ...เฮ่อได้ลุเต๋มบ้านเฮ๋อได้หลาน เต๋มเมิง... ” ( ให้ได้ลูกเต็มบ้าน ให้ได้หลานเต็มเมือง ) แต่ในปัจจุบันทนกระแสกดดันทางเศรษฐกิจไม่ไหว เมื่อมีการรณรงค์การคุมกำเนิด จึงมีการคุมจำนวนลูกให้ได้ตามต้องการ บางครอบครัวก็มีลูก 2 คน บางครอบครัวก็มีแค่คนเดียว
ครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขยาย ในสมัยก่อน 30 ปีมาแล้ว ผู้ที่แต่งงานแล้วจะอยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อตาแม่ยายเสียก่อน ชั่วระยะ 2-3 ปี แล้วจึงค่อยแยกครอบครัวออก แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลง คือ พอแต่งงานอยู่กับพ่อแม่ชั่วระยะเดี๋ยวเดียวก็ออกไปนั้น จะแยกกล่าวดังนี้
ลูกชาย ในสมัยก่อนนั้นการหาเงินทองยังไม่คล่องเหมือนทุกวันนี้ รับจ้างถางสวน หรือดำนา หรืองานอื่นๆ ก็เพียงวันละ 5 บาท ดังนั้นเมื่อลูกชายแต่งงานแล้วต้องอาศัยอยู่กับพ่อเสียก่อน เพราะต้องพึ่งพ่อแทบทุกอย่าง เงินทองก็ยังไม่มีต้องอาศัยพ่อแม่ เวลาที่จะออกเรือนแยกไปไม่แน่นอน หากน้องชายแต่งงานเร็ว พี่ชายก็จะแยกเรือนออกไปเร็ว เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาแนวทางหาเงินมีมาก ลูกชายก็เลยหาเงินเอาเอง ( บางทีพ่อแม่ได้อาศัยลูกซ้ำ ) สร้างฐานะได้ไว จึงแยกครอบครัวได้ไว
ลูกเขย ไม่มีความจำเป็นแล้วไม่มีใครอยากจะ “ ชูพ่อเฒ่า ” เลย เพราะทุกข์ยากทั้งกายและใจ สำรวมทุกอริยาบท ต้อง “ คะลำ ” หลายอย่าง ทำงานสารพัด จนมีคำพูดว่า “ เล็กอยู่เฮินว้าเขย ” ( เหล็กอยู่เรือนเรียกว่า พร้า ข้าอยู่เรือนเรียกว่า เขย ) เสมือนว่าเขยคือขี้ข้าคนหนึ่งในเรือน ความทุกข์ยากของเขยชูพรรณาไว้เป็นผญาอีสาน ดังนี้
“ เป็นเขยนี้ทุกข์ยากหัวใจ
เฮ็ดแนวใดย่านแต่เพิ่นว่า ( ทำอะไรกลัวแต่ท่านว่า )
สานกะต่ากะด้งกะเบียน
อยู่ในเฮือนมุมุบมุม้าย ( อยู่ในเรือนแบบเจียมตัว ก้มหน้าอยู่ )
บ่ว่าฮ้ายมันแม่นอีหลี ( ไม่ได้ใส่ความ เพราะมันเป็นความจริง )
แต่หัวทีเกินอุกเกินอั่ง ( ในหัวคิดมีแต่ความกลัดกลุ้ม )
นั่งบ่อนใดย่านแต่ผิดแม่เฒ่า ( นั่งตรงไหนกลัวแต่ผิดแม่ยาย )
ชาวมือกะบ่ติง ( 20 วันก็ไม่ไหวติง ( อยู่อย่างเจียมตัว ))
เถิงบาดยามกินข้าวสองสามคำกะพัดอิ่ม ( ยามกินข้าว 2-3 คำก็อิ่ม )
ชิมอันนั้นอันนี้หนี้จ้อยบ่อยู่คน ( ชิมถ้วยนั้นถ้วยนี้หนีไปไม่อยู่นาน )
ฝูงหมู่คนกินข้าวนำกันก็เหลียวเบิ่ง ( ฝูงหมู่คนกินข้าวด้วยกันก็เหลียวดู )
ส่งบาดยุ้มบาดแย้มแนมเจ้าว่าจังใด ( ส่งยิ้มเป็นนัยๆว่าเจ้าเขยเป็นอย่างไรท่วงทีละอายหรือเปล่า)”
สมัยก่อนเขยชูต้องจำใจอยู่ เขยชูที่ทุกข์ยากมาขอ “ ชู ” พ่อตานี้มีโอกาสได้ออกเรือนต่างหาก คือ เมื่อตั้งตัวได้ก็ขอออกเรือนไปเลย ( หมายถึงว่า 2-3 ปีจึงออก) แต่ประเภทที่พ่อตามีลูกคนเดียวเป็นลูกสาว หรือมีลูกสาวเดียว ลูกชายออกเรือนไปอยู่ต่างหาก พ่อตาต้องการให้ลูกเขยมาเลี้ยงจึงให้มาเป็นเขยชู ประเภทนี้ต้องอยู่กับพ่อตาแม่ยายตลอดไป ถ้าพ่อตาไม่ให้ออกเรือนก็ต้องชูตลอดไป จนพ่อตาแม่ยายเสียชีวิตแต่ก็คุ้มเพราะมรดกพ่อตาเขยชูจะเป็นผู้ได้มากกว่า
ในปัจจุบันนี้เขยชูประเภทที่ออกเรือนได้ จะออกเรือนเร็วกว่าอดีต เพราะความเจริญก้าวมาถึง การหาเงินหาทองเพื่อสร้างฐานะได้เร็วกว่าดังได้กล่าวมาแล้ว ถึงแม้จะมีการชูพ่อเฒ่า พ่อเฒ่าก็หัวสมัยใหม่พยายามทำให้ลูกเขยอยู่อย่างสบายใจเป็นกันเอง แต่อยู่ในครอบครัวของสังคมทั่วไปสำหรับฮีตสำคัญก็ยังปฏิบัติอยู่ เช่น ห้ามกระทำบางอย่างบนบ้านพ่อตา เช่น ลับพร้า ขัดฟักพร้า ดีด สี ตี เป่า ร้อง รำ ทำเพลง จับมือถือแขนน้องสาวภรรยายังห้ามทุกกาลเทศะ
ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวผู้ไทย ก็คงเหมือนกับครอบครัวไทยทั่วๆไป คือ ในครอบครัวหนึ่งๆก็จะมีพ่อเป็นใหญ่ที่สุด รองลงมาคือ แม่ พี่คนโต และรองลงไปตามลำดับ
1.สังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ในอดีตเมื่อ 40 ปีย้อนลงไป สังคมผู้ไทยได้ให้ความสำคัญต่อผู้เป็นสามีมาก ในปัจจุบันก็ยังให้ความนับถืออยู่ เพียงแต่ลดพฤติกรรมบางอย่างลงไปบ้าง เช่น
การกราบ การสมมาสามีในวันพระ บางคนไม่ได้ทำเลยโดยเฉพาะภรรยารุ่นใหม่ แต่จะสมมาสามีตอน “ ออกคำ ” ( ออกจากการอยู่ไฟ ) ใหม่ๆทุกครั้งเหมือนในอดีต ที่สมมาตอนออกคำใหม่ๆ ก็เพราะสามีเป็นผู้ลำบากทุกข์ยาก อดตาหลับขับตานอน ตักน้ำหาฟืน ดูแลภรรยาที่อยู่คำ ( เพราะฉะนั้นการอยู่คำนี้ภาษาลาวจึงเรียกว่า “ อยู่กรรม ”)
การสมมาในวันพระลดลงมาก บางคนไม่ทำเลย เพราะว่าเศรษฐกิจรัดตัว ทั้งผัวทั้งเมียต้องออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ผู้ออกจากบ้านบ่อยและกลับดึก คือ สามีนอกเรื่องงานแล้วอาจจะเป็นกิจกรรมของหมู่บ้าน เช่น ประชุมประจำเดือน ประชุมเตรียมการทำบุญ หรือติดงานด้านอื่นๆทำให้กลับบ้านดึก ภรรยาจึงนอนก่อน แต่ก่อนภรรยาต้อง “ ตื่นก่อนนอนหลัง ” จึงได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไม่ได้สมมาบ่อยๆเข้า ก็เลยเลิกไปโดยปริยาย
การกราบสามีก่อนนอนก็เช่นกัน บางคนเอาปลายผมตัวเองเช็ดเท้าสามีในปัจจุบันเหลือน้อยแล้วจนแทบจะไม่มี จนจะเหลือแต่เพียงเรื่องเล่าที่เลิกไปก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว
การกินข้าว แต่ก่อนต้องพร้อมกัน เมื่อทุกคนนั่งวงล้อมนาข้าวแล้วให้สามีเริ่มก่อนเดี๋ยวนี้ลดลง เพราะต่างมีธุระลูกก็รีบไปโรงเรียน สามีก็ติดธุระก็อนุญาตลูกเมียกินก่อน นานๆเข้าก็เลยถือเป็นเรื่องธรรมดาไป แต่ก็มีแบบเดิมให้เห็นอยู่ไม่มากการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมีมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว อีกประการหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือ เดี๋ยวนี้มีความเจริญขึ้นมาก หญิงชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทั้งสามีภรรยาต่างมีบทบาทในครอบครัวเท่ากัน ช่วยกันทำมาหากินไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เช่น ทั้งสามีภรรยาต่างเป็นข้าราชการ แต่อย่างไรก็ตามภรรยาก็ยังให้ความนับถือสามีอยู่ ถึงแม้ลด พฤติกรรมบางอย่าง แต่ด้านอื่นยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่น การให้ความห่วงใย เอื้ออาทร ปรนนิบัติ ก็ยังมีเหมือนเดิม
บรรดาลูกๆทั้งหลายต้องให้ความเคารพพ่อแม่ ไม่กระด้างกระเดื่อง มิเช่นนั้นแล้ว “ มันละลุ้ยละลง ส้างกึ๋นมิหึ้น ส้างเพงโห เจินลงเพงตี๋น ” ( มันจะเสื่อม ทำกินไม่ก้าวหน้า สร้างสูงถึงศีรษะ ทะลายลงถึงตีน )
2. การสืบสายตระกูล ชาวผู้ไทยส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นหลักในการสืบสายตระกูล ในการสืบมรดกนั้นในอดีตมักจะให้ผู้ชาย เพราะถือว่าลูกผู้หญิงต้องไปสมสร้างกับสามี บรรดาลูกชายคนที่จะได้มรดกมาก แบ่งเป็นดังนี้
1.พี่จะได้มากกว่าน้อง คือ “ อ้ายเอาสอง น้องเอาหนึ่ง ” เพราะมรดกต่างๆ เช่น ที่นา ถือว่าพี่เป็นคนช่วยพ่อทำมากกว่าน้อง นอกจากนี้พี่ยังเป็นคนเลี้ยงน้องด้วย
2.ผู้ที่รับภาระเลี้ยงดูพ่อแม่มากย่อมได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้อง ถ้าเป็นผู้ดูแลพ่อแม่จนพ่อแม่ตาย มรดกส่วนที่ยักไว้ของพ่อแม่ย่อมเป็นของผู้ที่เลี้ยงดูนั้น เพราะเลี้ยงดูพ่อแม่จน “ เหม็นกับเข่า เน่ากับตัก ” และ “ ไง้เงินเอาะ เทาะถงเท ” (ใช้เงินจัดการศพ จนขอดเกลี้ยงกระเป๋า)แต่ก็เหมือนกันที่พ่อแม่ให้ลูกสาวเป็นผู้มาเลี้ยงดูตน หรือไปอยู่กับลูกสาว ลูกสาวรับภาระในการเลี้ยงดู ลักษณะนี้ลูกสาวย่อมได้มรดกมากกว่า ( แต่จำนวนพ่อแม่ที่อยู่กับลูกชายมีมากกว่าอยู่กับลูกสาว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ) มีการให้มรดกแก่ลูกสาวอีกวิธีหนึ่ง คือ การ “ กาวลำชาย ” ( กล่าวเอาว่าเป็นลูกชาย ) คือ ในกรณีที่ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามีแล้วเกิดตกทุกข์ได้ยากสิ้นไร้ไม้ตอก ผู้เป็นพ่อก็เอามา “ กาวลำชาย ” ให้รับมรดกได้ “ การกาวลำชาย ” นั้นจะกล่าวตอนมีหญิงสาวที่มีนามสกุลเดียวกันกับพ่อ ( คือ พี่น้อง ลูกหลานของพ่อ ) แต่งงานก็จะกล่าวในงานแต่งงาน โดยแจกไม้ขีดไฟให้ “ เท้าอ้ายเท้าน้อง ” ( ผู้เฒ่าผู้แก่ฝ่ายพ่อ ) และบรรดาเขยทั้งหลาย แล้วประกาศให้ทราบว่า “ นาง... ต่อไปนี้จะกล่าวถือว่าเสมือนเป็นลูกชาย... ให้ญาติพี่น้องรับทราบไว้ ” เมื่อกล่าวแล้ว นาง ... ก็มีสิทธิรับมรดกจากพ่อ และบางคนเมื่อถูกกล่าวลำชายแล้วหันมาใช้นามสกุลของพ่อก็มี ในปัจจุบันนี้การสืบสายตระกูลสืบมรดก ลูกทุกคนมีสิทธิได้รับแบ่งเท่าเทียมกันแต่จะยักไว้ “ พูดพ่อแม่ ” (ส่วนของพ่อแม่ ) ไว้ให้ผู้ที่เลี้ยงพ่อแม่จนตาย
ขนาดครอบครัว ในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อนยังไม่มีการวางแผนครอบครัว ทำให้ครอบครัวมีขนาดใหญ่ บางครอบครัวมีลูกตั้ง 10-12 คน ใครมีลูกมากยิ่งดีจะได้ “ กินแฮง ” ( กินแรง ) ลูกคือ จะมีผู้มาเลี้ยงดู เวลามีการแต่งงานจะมีการให้พรคู่บ่าวสาวว่า “ ...เฮ่อได้ลุเต๋มบ้านเฮ๋อได้หลาน เต๋มเมิง... ” ( ให้ได้ลูกเต็มบ้าน ให้ได้หลานเต็มเมือง ) แต่ในปัจจุบันทนกระแสกดดันทางเศรษฐกิจไม่ไหว เมื่อมีการรณรงค์การคุมกำเนิด จึงมีการคุมจำนวนลูกให้ได้ตามต้องการ บางครอบครัวก็มีลูก 2 คน บางครอบครัวก็มีแค่คนเดียว
ครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขยาย ในสมัยก่อน 30 ปีมาแล้ว ผู้ที่แต่งงานแล้วจะอยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อตาแม่ยายเสียก่อน ชั่วระยะ 2-3 ปี แล้วจึงค่อยแยกครอบครัวออก แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลง คือ พอแต่งงานอยู่กับพ่อแม่ชั่วระยะเดี๋ยวเดียวก็ออกไปนั้น จะแยกกล่าวดังนี้
ลูกชาย ในสมัยก่อนนั้นการหาเงินทองยังไม่คล่องเหมือนทุกวันนี้ รับจ้างถางสวน หรือดำนา หรืองานอื่นๆ ก็เพียงวันละ 5 บาท ดังนั้นเมื่อลูกชายแต่งงานแล้วต้องอาศัยอยู่กับพ่อเสียก่อน เพราะต้องพึ่งพ่อแทบทุกอย่าง เงินทองก็ยังไม่มีต้องอาศัยพ่อแม่ เวลาที่จะออกเรือนแยกไปไม่แน่นอน หากน้องชายแต่งงานเร็ว พี่ชายก็จะแยกเรือนออกไปเร็ว เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาแนวทางหาเงินมีมาก ลูกชายก็เลยหาเงินเอาเอง ( บางทีพ่อแม่ได้อาศัยลูกซ้ำ ) สร้างฐานะได้ไว จึงแยกครอบครัวได้ไว
ลูกเขย ไม่มีความจำเป็นแล้วไม่มีใครอยากจะ “ ชูพ่อเฒ่า ” เลย เพราะทุกข์ยากทั้งกายและใจ สำรวมทุกอริยาบท ต้อง “ คะลำ ” หลายอย่าง ทำงานสารพัด จนมีคำพูดว่า “ เล็กอยู่เฮินว้าเขย ” ( เหล็กอยู่เรือนเรียกว่า พร้า ข้าอยู่เรือนเรียกว่า เขย ) เสมือนว่าเขยคือขี้ข้าคนหนึ่งในเรือน ความทุกข์ยากของเขยชูพรรณาไว้เป็นผญาอีสาน ดังนี้
“ เป็นเขยนี้ทุกข์ยากหัวใจ
เฮ็ดแนวใดย่านแต่เพิ่นว่า ( ทำอะไรกลัวแต่ท่านว่า )
สานกะต่ากะด้งกะเบียน
อยู่ในเฮือนมุมุบมุม้าย ( อยู่ในเรือนแบบเจียมตัว ก้มหน้าอยู่ )
บ่ว่าฮ้ายมันแม่นอีหลี ( ไม่ได้ใส่ความ เพราะมันเป็นความจริง )
แต่หัวทีเกินอุกเกินอั่ง ( ในหัวคิดมีแต่ความกลัดกลุ้ม )
นั่งบ่อนใดย่านแต่ผิดแม่เฒ่า ( นั่งตรงไหนกลัวแต่ผิดแม่ยาย )
ชาวมือกะบ่ติง ( 20 วันก็ไม่ไหวติง ( อยู่อย่างเจียมตัว ))
เถิงบาดยามกินข้าวสองสามคำกะพัดอิ่ม ( ยามกินข้าว 2-3 คำก็อิ่ม )
ชิมอันนั้นอันนี้หนี้จ้อยบ่อยู่คน ( ชิมถ้วยนั้นถ้วยนี้หนีไปไม่อยู่นาน )
ฝูงหมู่คนกินข้าวนำกันก็เหลียวเบิ่ง ( ฝูงหมู่คนกินข้าวด้วยกันก็เหลียวดู )
ส่งบาดยุ้มบาดแย้มแนมเจ้าว่าจังใด ( ส่งยิ้มเป็นนัยๆว่าเจ้าเขยเป็นอย่างไรท่วงทีละอายหรือเปล่า)”
สมัยก่อนเขยชูต้องจำใจอยู่ เขยชูที่ทุกข์ยากมาขอ “ ชู ” พ่อตานี้มีโอกาสได้ออกเรือนต่างหาก คือ เมื่อตั้งตัวได้ก็ขอออกเรือนไปเลย ( หมายถึงว่า 2-3 ปีจึงออก) แต่ประเภทที่พ่อตามีลูกคนเดียวเป็นลูกสาว หรือมีลูกสาวเดียว ลูกชายออกเรือนไปอยู่ต่างหาก พ่อตาต้องการให้ลูกเขยมาเลี้ยงจึงให้มาเป็นเขยชู ประเภทนี้ต้องอยู่กับพ่อตาแม่ยายตลอดไป ถ้าพ่อตาไม่ให้ออกเรือนก็ต้องชูตลอดไป จนพ่อตาแม่ยายเสียชีวิตแต่ก็คุ้มเพราะมรดกพ่อตาเขยชูจะเป็นผู้ได้มากกว่า
ในปัจจุบันนี้เขยชูประเภทที่ออกเรือนได้ จะออกเรือนเร็วกว่าอดีต เพราะความเจริญก้าวมาถึง การหาเงินหาทองเพื่อสร้างฐานะได้เร็วกว่าดังได้กล่าวมาแล้ว ถึงแม้จะมีการชูพ่อเฒ่า พ่อเฒ่าก็หัวสมัยใหม่พยายามทำให้ลูกเขยอยู่อย่างสบายใจเป็นกันเอง แต่อยู่ในครอบครัวของสังคมทั่วไปสำหรับฮีตสำคัญก็ยังปฏิบัติอยู่ เช่น ห้ามกระทำบางอย่างบนบ้านพ่อตา เช่น ลับพร้า ขัดฟักพร้า ดีด สี ตี เป่า ร้อง รำ ทำเพลง จับมือถือแขนน้องสาวภรรยายังห้ามทุกกาลเทศะ
1 ความคิดเห็น:
ส่งความคิดเห็น
http://swangkahart.blogspot.com/2007/08/blog-post_08.html
แสดงความคิดเห็น