วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550

การอบรมสั่งสอน,การหาอยู่หากิน

การอบรมสั่งสอนเรื่องการหาอยู่หากิน ในอดีตนั้นจะมีการอบรมสั่งสอนโดยประสบการณ์ตรง คือ ให้ลงมือปฏิบัติ แล้วพ่อแม่หรือปู่ย่าอยู่ข้างๆคอยบอก ซึ่งเป็นการสั่งสอนโดยตรงและบางทีก็อาจให้ช่วยงานซึ่งเป็นการสั่งสอนโดยอ้อม เช่น พาไปตัดไม่ไผ่มาจักสาน ทำให้ลูกรู้ชนิดของไม้ที่เหมาะแก่การจักสานภาชนะต่างๆ ไม้ไผ่ ไม้ไร่ยอดด้วนจะไม่ใช้จักสาน เพราะผุง่ายและมอดชอบ ลูกสาวก็อาจใช้ช่วยทอหูก ช่วยจับนั่นจับนี่ พาไปหากิน ทำให้ลูกมีประสบการณ์มากขึ้น แต่ก็มีลูกบางคนที่ไม่ต้องเรียกมาสอน แต่มีความทะยานอยากจะทำเองเห็นพ่อเห็นแม่ทำงานค้างไว้ พ่อแม่ไม่อยู่ก็ไปทำต่อ พ่อแม่เห็นแววก็จับมาสอนโดยตรงหรือบางที่ก็อาจไปถามคนอื่นที่เขาเป็น
ในอดีตเป็นความจริงอย่างหนึ่งว่า ผู้ชายที่ทำอะไรเป็นหลายอย่างตั้งแต่เป็นหนุ่ม เช่น ถางไม้ สร้างบ้าน ไถนา สร้างแอก จักสาน ชายผู้ไทยที่สามารถทำอยู่ทำกินเป็นตั้งแต่เป็นหนุ่มโสด จะเป็นที่หมายปองของผู้ที่มีลูกสาว แม้กระทั่งผู้ใหญ่ชมความสามารถก็มักจะทำนองว่า “ โอ้...เอ็ดเวะเป๋นพอเอาลุเอาเมแล้ว” ( โอ้...ทำงานเป็นพอเอาลูกเอาเมียแล้ว ) ที่จริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อแต่งงานไปก็สร้างเนื้อสร้างตัวได้ไว เป็นที่พึ่งพาอาศัยของพ่อตาแม่ยายและญาติๆทั้งหลายฝ่าย ในตอนใกล้จะแต่งงานเป็นอีกช่วงหนึ่งที่บรรดาลูกๆ จะได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักการครองเรือนเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน ในวันแต่งงานผู้ชายจะได้รับการอบรมก่อนจะเข้าพาขวัญ คือ ฝ่ายลุงตา ( ญาติฝ่ายเจ้าสาว ) จะ “ เฆี่ยน ” คือ กล่าวสั่งสอนในทุกๆด้านให้เป็นพ่อเรือนที่ดีมีความขยันมานะพยายามในการสร้างครอบครัว เป็นต้น
ในปัจจุบันการอบรมสั่งสอนได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะการศึกษาเจริญมากขึ้นลูกหลานทั้งหลายเอาแต่มุ่งมั่นในการศึกษาเพื่อจะเปลี่ยนอาชีพจากอาชีพของบิดาให้เป็นอาชีพอื่นที่ดีขึ้น การอบรมสั่งสอนจะเป็นหน้าที่ของครูในโรงเรียน ไม่ว่าทางศีลธรรมจรรยา การทำมาหากิน มีหลักสูตรในสถานศึกษารองรับแล้ว พ่อแม่มีหน้าที่หาเงินเพื่อส่งลูกเรียน แต่ทั้งนี้ไม่ว่าพ่อแม่จะละเลยไม่อบรมสั่งสอนเสียเลย มีโอกาสก็สั่งสอนบ้าง แต่ไม่บ่อยเหมือนสมัยอดีตเพราะลูกไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ ดังนั้นการให้การอบรมสั่งสอนลูกหลานจึงเป็นหน้าที่ของทั้งพ่อและแม่ พร้อมทั้งปู่ย่า ตายาย จะแยกกล่าวดังนี้
การอบรมลูกชาย ในอดีตอบรมให้รู้จักหน้าที่พ่อเรือน ให้รู้จักการหาความรู้เกี่ยวกับการครองชีพครองเรือน ตลอดจนอบรมจรรยามารยาทด้วย เช่น สอนให้รู้การจักสาน การจัดหาจัดทำเครื่องมือการเกษตรเช่น ทำแอก ทำไถ สอนให้ขยันทำมาหากิน ซึ่งได้กล่าวแล้วในบทบาทของสมาชิกในครอบครัว
ในปัจจุบันก็ยังอบรมเช่นกันกับในอดีต เพียงแต่ว่าแนวทางด้านความรู้เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตัวนั้นเปลี่ยนแปลงไป และสถานที่หาความรู้นั้นเปลี่ยนจากหาความรู้ในครอบครัวเป็นหาความรู้จากสถาบันต่างๆมากมาย
การอบรมลูกสาว ในสมัย 40 ปีที่ผ่านมาการอบรมลูกสาวในเบื้องแรกนั้นเป็นการอบรมให้รู้จักรักนวลสงวนตัว หญิงสาวจะไม่ยอมให้ผู้ชายจับมือถือแขนได้แม้กระทั่งผ่านเข้าใกล้ก็ต้องระวังตัว เคยมีบ่อยๆที่มีการปรับไหมกันเมื่อผู้ชายแกล้งถูกเนื้อต้องตัวหญิงหล่อนจะได้รับการสั่งสอนว่า “ ไคมิแต๊ะเซอมือ อย่าเฮ่อชายมาจับมาต้อง ” ( ไข่ไม่แตกใส่มือ ยังไม่แต่งงาน อย่าให้ชายแตะต้อง) ถ้าชายขืนแตะต้องโดยเจตนาจะต้อง “ ทึแหนเสไก ทึบ่าไลเสหมู ทึทังเน้อทั้งโต๋เสแม้โงโต๋ควาย ” ( ถูกแขนเสียไก่ ถูกบ่าไหล่เสียหมู ถูกทั้งเนื้อทั้งตัวเสียแม่วัวตัวควาย ) อันดับต่อมาก็สอนให้รู้จักหน้าที่แม่บ้าน ให้รู้จักเก็บกวาดบ้านเรือน “ เบิงลุ้มเบิงเท็ง ” ( ดูลุ่มดูบน ) ให้รู้จักเรือนสามน้ำสี่ ( เรือนสาม ได้แก่ เรือนนอน เรือนครัว และเรือนผม) น้ำสี่ ได้แก่ น้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำปูน ( สมัยนั้นผู้หญิงกินหมาก) และน้ำคำ นอกจากนี้ยังสอนการอิ้วฝ้าย ดีดฝ้าย ทอผ้า คือ ให้รู้จักการตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม เช่น ทอหมอนขวิด ( ผู้ไทยว่า “ เก็บหมอน ”) เย็บหมอน ทำผ้าห่ม ทำฟูกที่นอน ทอผ้าขาวม้า เรื่องการทำหมอน ผ้าห่ม ที่นอน ( ผู้ไทยเรียก สานะ ) ผ้าขาวม้าชายผู้ไทยจะเน้นมาก พ้นหน้านาไม่ว่าผู้สาวหรือผู้เฒ่าก็จะพากันทำในสิ่งเหล่านี้ หญิงสาวใดแต่งงานถ้ามีสิ่งเหล่านี้น้อยจะถูกกล่าวขวัญนินทามาก เพราะแสดงถึงความขี้เกียจ หญิงสาวบางคนก่อนแต่งงานจะมีไว้แล้วอย่างละประมาณ 50-60 ผืน ที่ขี้เกียจหน่อยก็มีอย่างละประมาณ 15-20 ผืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นของ “ สมมา ” ในวันแต่งงานที่เหลือก็จะเอาไปใช้ในครอบครัวใหม่ของตน แล้วก็เริ่มสร้างเพิ่มเติมอีก
ในสมัยปัจจุบันในเรื่องการรักนวลสงวนตัวเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามา หญิงสาวชายหนุ่มจะไปไหนมาไหน 2 ต่อ 2 จะจับมือถือแขนกันก็ไม่ค่อยจะถือกันแล้ว ดังที่เห็นๆกันอยู่ ส่วนการสร้างเครื่องนุ่งห่ม 4 อย่างที่กล่าวมานั้นมีเปลี่ยนแปลงไปตรงที่ว่า แม่เป็นผู้สร้างไว้ให้หรือซื้อเอา เพราะลูกสาวมีภาระในเรื่องการเรียนหนังสือหรือไปทำงานต่างถิ่น เดี๋ยวนี้หญิงสาวที่ปั่นฝ้ายเป็น ทอผ้าเป็น หายากแล้ว และนับวันจะลดลงไปเรื่อยๆ

ไม่มีความคิดเห็น: